ศิลปะพื้นบ้าน
เครื่องเคลือบดินเผา และเครื่องแกะสลัก
ชาวโปรตุเกสที่เดินทางมาสัมผัสผืนดินของประเทศบราซิลเป็นคนแรกในศตวรรษที่ 16 เริ่มปลูกฝังวัฒนธรรมของชาวยุโรปให้แก่ประเทศบราซิล ในขณะที่ชาวโปรตุเกสยังคงรวมตัวกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ที่รักสันโดษเพื่อสำรวจชายหาดที่ไม่รู้จัก ช่างปั้นหม้อชาวอินเดียก็ทำงานของตนไป ช่างชาวพื้นเมืองก็กำลังขัดขวานที่ทำด้วยหินเหล็กไฟ นักดนตรีและนักเต้นรำก็แต่งตัวออกมาโดยสวมหน้ากากไฟเบอร์ สวมหมวกฟางถัก และ หมวกขนนกรูปทรงประหลาด ก็เล่าเรื่องตำนานเกี่ยวกับน้ำท่วมและสิ่งที่พระเจ้าเป็นผู้สร้าง วัฒนธรรมของชาวบราซิลเป็นมากกว่าสิ่งที่ได้จากพวกผิวขาวชาว ยุโรป ผิวดำอาฟริกัน และคนป่าชาวอินเดีย การผสมพันธ์ระหว่างเชื้อชาติในบรรดาคนเหล่านี้เกิดขึ้นตั้งแต่ครั้งที่พวก เขาติดต่อกันใหม่ ๆ วัฒนธรรมสามแบบนี้ได้สอดแทรกเข้าไปในวิถีชีวิต ความรู้สึกและการกระทำของชาวบราซิล ทุกวันนี้จึงเป็นการยากที่จะแยกแยะวัฒนธรรมดังกล่าว ศิลปะพื้นบ้านของชาวบราซิลจึงอยู่ท่ามกลางความสมบูรณ์ที่สุดและความหลากหลาย ที่สุดในซีกโลกนี้การเต้นรำและละครพื้นบ้านของบราซิลจะเป็นการแสดงออกซึ่งความรู้สึกทางศิลปะ ที่เป็นที่นิยม เนื้อเรื่อง ท่วงทำนอง เครื่องแต่งกาย และการแสดงต่างก็เผยให้เห็นถึงองค์ประกอบหลักสามประการของวัฒนธรรมประจำชาติ ซึ่งมีปฏิกิริยาต่อกันอย่างสลับซับซ้อมีการเต้นรำพื้นบ้านของบราซิลมากมาย - ทุกอย่างเป็นการแปลงเรื่องมาจากยุคสงครามตอนต้นระหว่างโปรตุเกสและอินเดีย [Caboclinhos และ Caiapos ซึ่งแสดงในรัฐต่าง ๆ ของ เพอร์นัมบุโค (Pernambuco) และ อลากอส (Alagoas)] สำหรับ Cavalhada ของเพียร์โนโพลิส ในรัฐโกแอส จะมีการแห่อย่างน้อยสามวัน ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นการต่อสู้ระหว่างชาวคริสเตียน และ ชาวมูร์ บนคาบสมุทรไอบีเรียน Cavalhada ยังคงได้รับการรักษาให้คงอยู่จากประเพณีการต่อสู้กันในสมัยกลาง
Capoeira เป็นการเต้นรำแบบการต่อสู้ ที่มีลักษณะเป็นพิธีการทางศาสนา และมีรูปแบบเฉพาะ มีดนตรีเป็นของตนเอง และมักแสดงในกันเมืองของซัลวาดอร์ (Salvador) และ บาเฮีย (Bahia) ซึ่งเป็นการแสดงลักษณะของชาวบราซิลทั้งในศิลปะด้านการเต้นรำและการทำศึก สงคราม ซึ่งพัฒนามาจากท่าทางการต่อสู้ที่คิดขึ้นในอังโกล่า ในตอนต้นยุคสมัยที่มีทาส ก็มีการต่อสู้ระหว่างคนผิวดำอย่างต่อเนื่อง และเมื่อเจ้าของทาสจับได้ว่าทาสของตนต่อสู้กัน ก็จะมีการทำโทษทั้งสองฝ่าย ทาสถือว่าการทำเช่นนี้ไม่มีความยุติธรรมและก่อให้เกิดฉากควันที่ใช้บังการ เคลื่อนไหวในเวลาสู้รับ มี ดนตรีและเพลงเพื่อบดบังการต่อสู้ที่แท้จริง เป็นเวลาหลายปีมาแล้วที่การแสดงนี้ถือว่าเป็นกีฬาชั้นสูงซึ่งคู่ต่อสู้ทั้ง สองฝ่ายพยายามที่จะเข้าโจมตีเพียงใช้ขา เท้า ส้นเท้า และศรีษะ แต่ห้ามใช้มือ
นอกเหนือจากการเต้นรำแบบพื้นบ้านแล้ว ยังมีละครรำอีกมากมาย (ซึ่งเป็นผลงานด้านละครพูด) ที่ได้รับความนิยมในประเทศบราซิลซึ่งเป็นการดำเนินรอยตามประวัติศาสตร์ของตน โดยตรงใน ยุคกลาง สำหรับชาวโปรตุเกสดั้งเดิม ละครรำนี้ดัดแปลงท่ารำมานับศตวรรษแล้วให้เป็นวัฒนธรรมของบราซิล มาริโอ เดอ อันเดรด (Mario de Andrade) เป็นนักประพันธ์นิทานชาวบ้านที่มีชื่อเสียงได้จำแนกละครรำออกเป็นสี่กลุ่ม ใหญ่ ๆ กล่าวคือ reisados, chegancas, pastoris และ ranchos
Ranchos: ในบรรดากระบวนแห่งแบบตั้งเดิม ที่มีการเฉลิมฉลองในริโอ เดอ จาเนโร คือ ranchos ซึ่งเป็นเรื่องราวความรักโรแมนติคที่แสดงโดยนักแต้นแต่ละคนที่ร่ายรำไปตาม ท่วงทำนองของดนตรี ได้มีการเขียน ranchos ทุกปีและกลุ่มผู้รำก็จะแสดงท่าทางต่าง ๆ พวกเขาจบการแสดงเพื่อให้ได้รับการยอมรับและได้รับรางวัล ดังนั้นจึงกลายมาเป็นการบุกเบิกโรงเรียนของคนผิวดำในทุกวันนี้
ในทาง ตะวันออกเฉียงเหนือของบราซิล บริเวณที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของตลาดขนาดใหญ่จะตั้งแสดงเครื่องปั้นดินเผา และมีพ่อค้าสินค้าที่ทำจากดินเหนียว ซึ่งมีหลาย ๆ อย่างที่เป็นงานแกะสลักของแท้ ช่างในท้องถิ่นเหล่านี้มิได้เป็นที่รู้จักในเฉพาะพวกที่นิยมของพื้นบ้านชาว บราซิลเท่านั้น แต่ยังเป็นที่รู้จักในแวดวงศิลปินนอกประเทศราซิลอีกด้วย ชื่อที่เราคุ้นเคยคือ เซเวริโน (Severino) ซึ่งงานของเขาเป็นงานที่ทำจากดินเหนียวไม่ได้เคลือบเงา วิตาลิโนซึ่งเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในผลิตภัณฑ์จำพวกเครื่องปั้นดิน เผาของพื้นบ้าน บางทีอาจเป็นเพราะเขาลงชื่อของเขาในสิ่งที่เขาประดิษฐ์ขึ้นก็ได้ และ เซ คาโบโคล (Ze Caboclo) จากเมืองคารัวรู (Caruaru) ซึ่งเป็นศูนย์กลางของงานแกะสลักของพื้นบ้านในรัฐเพอร์นัมบุโค (Pernambuco) ภาพวาดบนเซรามิคที่บรรยายกิจกรรมประจำวัน สัตว์ต่าง ๆ (เช่น ม้า ไก่ และ วัว) และตัวแทนทางศาสนา (พระและนักบุญ)
เครื่อง ปั้นดินเผาทุกวันนี้ดำเนินรอยตามประเพณีที่เป็นวัฒนธรรมของชาวอินเดียที่ เกิดขึ้นใน อะเมซอนก่อนที่ชาวโปรตุเกสจะมาถึงในศตวรรษที่ 16 อย่างน้อยก็มีสี่วัฒนธรรมที่เห็นได้ชัดเจนจากผลงานเครื่องเคลือบ กล่าวคือบนเกาะ มาราโจอันกว้างใหญ่ที่ปากแม่น้ำของแม่น้ำอะเมซอน ช่างปั้นจะปั้นแจกันที่จะนำมาตกแต่งด้วยลวดลายสลับซับซ้อนทีหลัง ในยุคสุดท้ายของโบราณคดีทั้งห้าบนเกาะ มาราโจอาร่า มีชื่อเสียงมากที่สุด ในแถบซันทาเร็ม ช่างปั้นชาวอินเดียทำโกศและ igacahab (โกศที่ใช้ในการเผาศพ) ที่ประดับด้วยเครื่องห่อหุ้มสัตว์ที่ชวนให้ประหลาดใจ พวกเขาแปลงโฉมสัตว์พื้นเมืองของอะเมซอนให้เข้าใจยากขึ้นและเป็นรูปมนุษย์และ สัตว์ที่มีความแปลกตามากยิ่งขึ้น วัฒนธรรมของคูนานิ (Cunani) และมาระกา (Maraca) (ซึ่งในปัจจุบันนี้คือรัฐปาระ) ก็ยังผลิตเครื่องปั้นดินเผาที่แปลกตา
ศิลปะพื้นบ้าน
Capoeira - การต่อสู้ - การเต้นรำ
การ เคลื่อนไหวในเวลาสู้รับเป็นการใช้รถเลื่อนและแท่นสำหรับมือจับที่หมุนได้บน พื้น ดนตรีจะบรรเลงขึ้นพร้อมกันซึ่งมี capoeira รวมทั้ง berimbau มีไม้รูปร่างโค้งที่มีลวดเหล็กขึงจากปลายด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่ง มีเปลือกน้ำเต้าที่ทำหน้าที่เหมือนกล่องเสียงติดเข้ากับด้านล่างของ berimbau โดยที่ผู้เล่นจะสั่นส่วนด้านหน้า ขณะที่เมล็ดในเปลือกน้ำเต้านั้นส่งเสียงดัง เขาก็จะดึงลวดด้วยเหรียญทองแดงเพื่อให้เกิดเสียง
ละครพื้นบ้าน
Reisados: ประกอบด้วยละครพื้นบ้าน 24 เรื่อง ซึ่งเรื่องที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือเรื่อง Bumba-Meu-Boi ประเด็นสำคัญของละคร Boi เน้นที่ความโชคร้ายวัวตัวที่มีราคาสูงที่ผู้เลี้ยงวัว ผู้ร่ำรวยที่ต้องการค้นหาเพื่อนำมาปรับปรุงฝูงสัตว์ของตน
Chegancas: Chegancas (การมาถึง) เป็นละครพื้นบ้านที่จะแสดงระหว่างฤดูคริสต์มาส เป็น การเล่าเรื่องการที่พวกมูร์มาถึงที่นี่ได้ด้วยทางน้ำ ความพ่ายแพ้ และการเข้าพิธีล้างบาปโดย ชาวคริสเตียน
Pastoris: Pastoris (คนเลี้ยงแกะ) เริ่มแสดงด้วยการร้องเพลงวันคริสต์ที่ร้องหน้าประตูบ้านในตอนเที่ยงคืน ทุกวันนี้เรื่องราวเกี่ยวกับพระถือเป็นเรื่องปกติ ผู้หญิงที่เดินตามท้องถนนเป็น ทางขนานเรียกว่าเส้นแดงและเส้นน้ำเงิน แต่ละแถวจะมีลักษณะเหมือนกัน กล่าวคือ ครู ไดอาน่า นางฟ้าผู้น่ารัก ยิปซี ชายชรา (ตัวตลก) มีเด็กหญิงเลี้ยงแกะร้องแพลงและเขย่าแทมเบอรีน พร้อมด้วยมีการเล่นกีตาร์ เครื่องดนตรีที่ใช้เป่า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น